ครูยุคปฏิรูป.....เสนอ 4 วิธีใหม่
สาธิต มศว. แนะ 4 หลัก ในการสอนสำหรับครูยุคใหม่ ดังนี้
1.มีวิธีคิดใหม่
2.มีวิธีสอนใหม่
3.มีเครื่องมือใหม่
4.มีองค์ความรู้ใหม่
นอกจากนี้ หน้าที่ของครูยังต้องสร้างเด็ก ให้รู้คุณค่า และมีเป้าหมายในอนาคต ครับ.........
มีอะไรใหม่อีกไหมครับ..................
ครูดีเป็นอย่างไร "มงคล โอมาก" พรรณนามาอย่างน่าสนใจ พร้อมกับยกโวหารเปรียบเปรยมาดังนี้
เปลวเทียนละลายแท่งทอแสงอันอำไพ
ชีวิตมลายไป เหลืออะไรไว้ทดแทน
.....ครูมีหน้าที่พัฒนาเด็ก ครูสร้างคนให้มีความรู้ ครูพัฒนาคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขรวมทั้งพัฒนาชุมชนและประเทศให้ก้าวหน้ามั่นคง มีความสมดุลและยั่งยืน ครูถูกจัดให้เป็นพ่อแม่คนที่สอง เป็นผู้ให้ปัญญา
.... ครูดี เปรียบเสมือนเทียนที่ยอมละลายตนเอง เพื่อเปล่งแสงอันอำไพ ถึงตนจะลำบาก ยากเข็ญอย่างใดก็ตั้งใจสั่งสอนศิษย์ให้เป็นคนมีความรู้ความสามารถ ครูจึงเป็นปูชนียบุคคล เป็นที่เคารพของคนทั่วไป
.... ครูดี คือ ทหารเอกของชาติ ครูเป็นผู้ขัดเกลาคนชั่วให้เป็นคนดี มีหลักการ สร้างคนเกียจคร้านให้เป็นคนขยัน เป็นคนมีน้ำใจ มีไมตรี เป็นแบบอย่างที่ดีของสังคม
... ครูดี ต้องเป็นนักวางแผนที่ดี...
.... ก่อนสอนเด็กครูต้องมีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี สร้างบรรยากาศในห้องเรียนให้แจ่มใส ครูดีต้องมีความสำนึกอยู่เสมอ ห้องเรียนไม่ใช่คุกที่คุมขังเด็ก ห้องเรียนไม่ใช่คอกเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย
... ครูไม่ใช่ผู้คุมและไม่ใช่เพชรฆาต เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว ครูจะทำให้เป็นสีอะไรก็ได้
ครูดี เปรียบเสมือนชาวสวน
.... ต้นไม้จะผลิดอกออกผล ต้องคอยหมั่นพรวนดิน รดน้ำใส่ปุ๋ย บำรุงรักษา คอยเอาใจใส่ ฆ่าแมลงที่จะมาทำลาย เพื่อให้พันธุ์ไม้ในสวนผลิดอกออกผล ส่งกลิ่นหอมหวาน ครูสอนเด็กก็เฉกเช่นกัน ต้องคอยหมั่นว่ากล่าวตักเตือน เพื่อความก้าวหน้าของนักเรียน
นี่ คือ ความภูมิใจและความสุขของศิษย์
.... ครูดี ต้องเป็นนักพัฒนา พัฒนาตนเอง พัฒนาศิษย์ พัฒนาคุณธรรม ให้ความเป็นกันเอง และเป็นเพื่อนยามยาก คอยปลอบขวัญเมื่อนักเรียนมีปัญหา
.... ครูดี ต้องเป็นนักแนะแนว แนะแนวเป็นหัวใจของการจัดการศึกษา ทำให้เราเข้าใจเด็กได้ดี เพื่อนำมาไปพัฒนาการเรียนการสอนให้เด็ก มีความฉลาดปราดเปรื่อง เข้าใจปัญหาสังคมโลก...
ครูที่ดี มีวิชา เป็นอาภรณ์
สามารถสอน นักเรียน ได้เลิศล้ำ
ครูดี มีจรรยา สละนำ
ไม่กระทำ ตัวอย่าง ทางเลวเอย..
ที่มา: กำแหง ภริตานนท์ : บทความ คัดมาจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส 17 ม.ค. 48
นอกจากที่มีผู้แสดงความคิดเห็นมาแล้วก็ขอเพิ่มเติมอีกว่า ครูยุคปฏิรูปนั้น ก็น่าจะมีสิ่งต่อไปนี้
-รักและเข้าใจเด็ก คือ คุณสมบัติขั้นพื้นฐานของคนเป็นครู นอกจากความรักและเอาใจใส่แล้ว ครูยังต้องมีความเมตตา และปรารถนาดีต่อเด็กด้วย
-ศรัทธาในวิชาชีพ ครูมีหน้าที่พัฒนาเด็กให้เติบโตอย่างมีคุณภาพเพื่อเป็นกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต อาชีพครู จึงเป็นงานที่มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจยิ่ง
-ยอมรับความแตกต่างของผู้เรียน ครูเชื่อว่าเด็กทุกคนมีศักยภาพในการเรียนรู้ที่แตกต่างกันไปโดยครูเป็นผู้ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพของเด็กในด้านนั้น ๆ ให้โดดเด่นยิ่งขึ้น
-เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นหัวใจของการปฏิรูปการเรียนรู้เพื่อให้คนไทยมีคุณลักษณะพี่พึงประสงค์ (เก่ง ดี มีความสุข) ครูจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีสอนของตนให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
-พัฒนาตนเองเสมอ ความรู้ต่าง ๆ เทคโนโลยี ตลอดจนนวัตกรรมด้านการศึกษาเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หากครูหยุดนิ่งอยู่กับที่ จะกลายเป็นครูตกยุคในที่สุด
-ทุ่มเทและรับผิดชอบสูง ครูจะประสบความเร็จในอาชีพได้ ต้องทุ่มเทตนเองและอุทิศเวลาให้แก่งานในหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถ
-ประพฤติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ยึดมั่นในจรรยาบรรณของวิชาชีพครู วางตนเหมาะสม เป็นที่ยอมรับและน่าศรัทธาของสังคม
-รู้จักวิเคราะห์หลักสูตร สามารถนำหลักสูตรการเรียนรู้มาประยุกต์เข้ากับสภาพแวดล้อมในชีวิตจริงของผู้เรียน และเชื่อมโยงกับสภาวะของสังคมโลกที่อยู่ไกลตัวออกไป
-เป็นนักประสาน ในอนาคต ครอบครัว ชุมชนท้องถิ่น ตลอดจนสถาบันอื่น ๆ จะเข้ามามีส่วนร่วมทางการศึกษามากขึ้น ครูจึงต้องรู้จักร่วมมือกับองค์กรเหล่านั้นอย่างสร้างสรรค์ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดการศึกษา
ตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 กำหนดให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาขึ้นโดยเฉพาะ คือพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ซึ่งถือว่าเป็นกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาฉบับแรกของไทย
ที่มุ่งหวังของไทยจะยกระดับการศึกษาของไทยและปฏิรูปการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะหมวด 4
ว่าด้วยแนวการจัดการศึกษา ได้กำหนดไว้ว่า
วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555
หลักการใช้ Tense ทั้ง 12
18/01/2011View: 48,898
Tense
Tense คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการ นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก เราก็จะสื่อภาษากับเขา ไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าาเกิดขึ้นเมื่อใดมาช่วยเสมอ แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวบอก ดังนี้การศึกษาเรื่อง tense จึงเป็นเรื่องจำ เป็น.
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่ง ออกเป็น 3 tense ใหญ่ๆคือ
1. Present tense ปัจจุบัน
2. Past tense อดีตกาล
3. Future tense อนาคตกาล
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้ tense ละ 4 คือ
1 . Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
3. Perfect tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
4. Perfect continuous tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลัง ดำเนินอยู่ด้วย).
โครงสร้างของ Tense ทั้ง 12 มีดังนี้
Present Tense
[1.1] S + Verb 1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆ ตรงๆไม่ซับซ้อน).
[Present] [1.2] S + is, am, are + Verb 1 ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไร อยู่).
[1.3] S + has, have + Verb 3 + ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึง ปัจจุบัน).
[1.4] S + has, have + been + Verb 1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำ ต่อไปอีก).
Past Tense
[2.1] S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วใน อดีต).
[Past] [2.2] S + was, were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
[2.3] S + had + verb 3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตใน ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[2.4] S + had + been + verb 1 ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อ เนื่องไม่หยุด).
Future Tense
[3.1] S + will, shall + verb 1 +….(บอก เรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
[Feature] [3.2] S + will, shall + be + Verb 1 ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไร อยู่).
[3.3] S + will,s hall + have + Verb 3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จ ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
[3.4] S + will,shall + have + been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด - เวลาหนึ่งในอนาคตและ จะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
หลักการใช้แต่ละ tense มีดังนี้
[1.1] Present simple tense เช่น He walks. เขาเดิน,
1. ใช้กับ เหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ และคำสุภาษิตคำ พังเพย.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด (ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น.
4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต เช่นนิยาย นิทาน.
6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้น ด้วยคำว่า If (ถ้า), unless (เว้นเสียแต่ว่า), as soon as (เมื่อ,ขณะที่), till (จนกระทั่ง) , whenever (เมื่อไรก็ ตาม), while (ขณะที่) เป็นต้น.
7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ), often (บ่อยๆ), every day (ทุกๆวัน) เป็นต้น.
8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [1.1] ประโยคตามต้องใช้ [1.1] ด้วยเสมอ.
[1.2] Present continuous tense เช่น He is walking. เขากำลังเดิน.
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้ now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้น ประโยค, หลังกริยา หรือสุดประโยคก็ ได้).
2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้ .
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้ เช่น รัก ,เข้าใจ, รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน Tense นี้ไม่ได้.
[1.3] Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต และต่อเนื่องมาจนถึง ปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต (จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกใน ปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคต ก็ได้)และจะมีคำ ว่า ever (เคย) , never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วย.
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่ (ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense
4. ใช้กับ เหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่) ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว), yet (ยัง), finally (ในที่สุด) เป็นต้น.
[1.4] Present perfect continuous tense เช่น He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว.
* มีหลักการใช้เหมือน [1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่ ส่วน [1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
[2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดิน แล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะ ที่พูด และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday, year เป็นต้น.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด อยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย.
4. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น [2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้อง เป็น [2.1] ด้วย.
[2.2] Past continuous tense เช่น He was walking . เขากำลังเดินแล้ว
1. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน { 2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้ 2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc.
3. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2 จะดูจืดชืดเช่น He was cleaning the house while I was cooking breakfast.
[2.3] Past perfect tense เช่น He had walk. เขาได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับ เหตุการณ์ 2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้.
เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1.
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at eight o’ clock yesterday.
[2.4] past perfect continuous tense เช่น He had been walking.
มีหลักการใช้เหมือนกับ 2.3 ทุกกรณี เพียงแต่ tense นี้ ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When we arrive at the meeting , the lecturer had been speaking for an hour . เมื่อพวกเราไปถึงที่ ประชุม ผู้บรรยายได้พูดมาแล้ว เป็นเวลา 1 ชั่วโมง.
[3.1] Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน.
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า tomorrow, to night, next week, next month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
* Shall ใช้กับ I we.
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา, ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์ เท่านั้น ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
[3.2] Future continuous tense เช่น He will be walking. เขากำลังจะ เดิน.
1. ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่ (ต้องกำหนดเวลาแน่นอน ด้วยเสมอ).
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.2 S + will be, shall be + Verb 1 ing.
- เกิดทีหลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.3] Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะ เกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลา ด้วย เช่น by tomorrow , by next week เป็น ต้น.
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
- เกิดก่อนใช้ 3.3 S + will, shall + have + Verb 3.
- เกิด ที่หลังใช้ 1.1 S + Verb 1 .
[3.4] Future prefect continuous tense เช่น He will have been walking. เขาจะได้กำลัง เดินแล้ว.
ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า 3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคต อีกด้วย.
* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อย นัก โดยเฉพาะกริยาที่ทำนาน ไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน Tense นี้เด็ดขาด.
จบเรื่อง Tense
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)